ต้อลม

ต้อลม

👉ต้อลม (pinquecula) เป็นโรคที่พบได้บ่อยเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นโรคประจำลูกตาของคนค่อนข้างมีอายุ แทบจะไม่พบโรคนี้ในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ขวบ บางคนเรียกว่าโรค “ตากร้านลม กร้านแดด” นั่นหมายถึงว่า จะต้องเกิดในคนที่ผ่านโลกมานานพอสมควรทีเดียว มิฉะนั้นคงไม่ “กร้าน” เป็นแน่

💑เราจะพบว่า ในเด็กแรกเกิดหรือเด็กอนุบาล ดวงตาจะดำและขาวตัดกัน และดูสดใสสะอาด เป็นดวงตา (แววตา) ที่ใสบริสุทธิ์ จึงมองดูเหมือน “ไร้เดียงสา” น่าจ้องมอง หรือกล่าวง่ายๆ ก็ว่า มองดูตาเด็กแล้วสบายตา สบายใจ ผิดกับมองตาคนโตๆ ด้วยกัน หรือในคนมีอายุซึ่งมักจะรู้สึกเหมือนมีอะไรแอบแฝงปะปนออกมากับต้อลมที่มีอยู่ที่ตาของเขานั้นด้วยเสมอ เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ท่านลองสังเกตดูด้วยตัวเองเถิด

👉ต้อลมเกิดขึ้นมาได้อย่างไร👈

👀💛ต้อลมเกิดขึ้นได้กับคนแทบทุกคนที่มีความไวต่อมลภาวะ สิ่งแวดล้อมที่เราอยู่อาศัย ไม่เกี่ยวข้องกับอาหารการกินเลย มีคนไข้บางคนคิดว่า อาหารที่กินจะเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดต้อลม และมักมาถามผมเสมอว่า เป็นโรคนี้แล้วต้องงดอาหารอะไรบ้าง ของหมัก ของดอง ปูดอง ของทะเล เนื้อวัว เห็ดโคน ปลาร้า ของพวกนี้กินแล้วจะทำให้ต้อชนิดนี้กำเริบมากขึ้นหรือเปล่า เป็นต้น

🍒🍓สาเหตุที่เชื่อกันว่าเป็นตัวต้นเหตุโรคนี้ได้แก่ มลภาวะที่ตากระทบอยู่เสมอเป็นประจำ มีอยู่ 5 ประการ ดังต่อไปนี้

1. ลม ลมในที่นี้หมายถึงลมที่พัดไปมาในอากาศรอบๆตัวเรานี่แหละ โดยเฉพาะลมที่ค่อนข้างร้อนและแห้งแล้ง ยิ่งแถวๆ ดินแดนที่แห้งกันดาร ที่ราบสูง หรือกล่าวโดยทั่วๆ ไป ก็คือ ลมแถวๆ ประเทศที่อยู่แนวศูนย์สูตรของโลกเรา (tropical zone) ได้แก่ 
🙋ประเทศไทย 🙍มาเลเซีย 🙅ฟิลิปปินส์ 🙎ศรีลังกา เป็นต้น 
😌สำหรับลมที่มาจากพัดลมบนเพดานหรือพัดลมตั้งโต๊ะ หรือลมที่เป่าออกมาจากเครื่องปรับอากาศไม่ค่อยเป็นสาเหตุ

👩ลักษณะที่คนจะเกิดโรคนี้ด้วยการโดนลมธรรมชาติโกรกก็มีกลไกของมันอยู่ ชนิดที่ยืนอยู่เฉยๆ ลมพัดเข้าตา👯💜ยังไม่เหมือนกับประเภทที่ขี่รถเครื่องมอเตอร์ไซค์เดินทางไปไหนมาไหนบ่อยๆ เป็นประจำด้วยตาเปล่า ไม่มีอะไรเป็นเกราะกำบังลูกตาแม้แต่น้อย ขี่มอเตอร์ไซค์ “ซิ่ง” จนผมลู่ไปด้านหลัง ลืมตาโพลง บิดน้ำมันเกือบสุดเกย์ แบบนี้ต้อลมชอบมาก พอดีพอร้าย👊แมลงบินเข้าตาผสมเข้าไปอีกแรงยิ่งสนุกกันใหญ่

2. ฝุ่น ฝุ่นละอองที่ปลิวอยู่ในอากาศ ฝุ่นจากพื้นถนน จากพื้นที่แห้งแล้งหรือควันจากท่อไอเสียรถเข้าตาเป็นนิจสิน เป็นสาเหตุให้เกิดโรคนี้ มักจะมากับลมในข้อ 1 ปกติฝุ่นที่ลอยไปมาอยู่ในอากาศจะไม่รุนแรงเท่าฝุ่นที่มีความเร็ว หรือเข้าไปสัมผัสมันด้วยความเร็ว คือ ขี่รถมอเตอร์ไซค์ผ่านบริเวณที่มีฝุ่นมากๆนั่นเอง จะสังเกตได้ว่า ในประเทศที่พัฒนาแล้วจะพบโรคนี้น้อยมาก เป็นเพราะบ้านเมืองเขาไม่ค่อยมีฝุ่นตามท้องถนน ถนนหนทางปูลาดด้วยซีเมนต์หรืออิฐตลอด หาพื้นที่ที่เป็นดิน เป็นฝุ่น อย่างแถวบ้านเราน้อย บ้านเราพอตกขอบถนนก็เป็นพื้นที่ฝุ่นจนกระทั่งถึงขอบตึกแถวรถวิ่งผ่านไปฝุ่นคลุ้งเต็มไปหมด ลักษณะของความไม่เจริญยังปรากฏเด่นอยู่ ยิ่งแถวต่างจังหวัดด้วยแล้วแทบจะถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของต่างจังหวัดทุกจังหวัดเลย คือ ฝุ่นจากขอบถนน

3. แสงแดด แสงแดดในที่นี้หมายถึงแสงแดดที่ค่อนข้างรุนแรง ที่มีไอร้อนสูง เพราะแสงที่มีความร้อนระอุสูงจะมีรังสีอัลตราไวโอเลตอยู่ด้วย และชนิดนี้มีผลทำให้ผิวหนังดีๆ เป็นมะเร็งได้ ดังนั้น เยื่อบุตาซึ่งบางมาก ยิ่งง่ายต่อการระคายเคืองจนเกิดต้อลม เวลาที่อันตรายสำหรับการกระทบแสงชนิดนี้เชื่อว่าเป็นช่วงตั้งแต่ 9 โมงเช้าจนถึง 3 โมงเย็น จึงควรพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไปลืมตาให้โดนแสงแดดในเวลาดังกล่าว ถ้าเลี่ยงไม่ได้ควรสวมแว่นกันแดด ซึ่งอาจช่วยกันได้บ้างแต่ไม่มากนัก เพราะแสงชนิดนี้แว่นตากั้นไม่ได้ กั้นได้เฉพาะแสงจ้าๆที่มองเห็นเท่านั้น พอให้มืดสบายตา

👬🙎คนในประเทศทางแถบเขตร้อนจึงเป็นโรคต้อลมกันมาก อีกโรคที่เป็นมากเหมือนกัน คือ “ต้อเนื้อ” ซึ่งมีลักษณะคล้ายกันมาก เพียงแต่ต่างกันที่รูปร่าง คือ ต้อเนื้อจะเป็นรูปสามเหลี่ยมเล็กๆ แหลมๆ ยื่นเข้าไปในตาดำคล้ายลิ้นหมา บางคนจึงเรียกว่า “ต้อลิ้นหมา”

4. ความร้อน ไอความร้อนทั้งหลาย ได้แก่ ความร้อนจากแสงอาทิตย์ ความร้อนจากเตาไฟ ความร้อนจากสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากอะไรก็ตาม มีผลทำให้เกิดได้ ที่สำคัญคือความร้อนจากแสงแดด คนที่อยู่กลางแดดนานๆ เป็นวันๆ เช่น ชาวไร่ ชาวนา คนงานก่อสร้าง ไม่ว่าจะสร้างตึก สร้างบ้าน สร้างทาง หรือสร้างสะพาน เยื่อตาจะทนไม่ไหว

5. ไม่ทราบสาเหตุ ไม่เคยสัมผัสกับสาเหตุ 4 อย่างดังกล่าวข้างต้นเลย แต่ก็ยังเป็นได้ กลุ่มนี้อาจมีต้นตอมาจากพันธุกรรมเช่นเดียวกับต้องเนื้อ ไม่เคยทำงานกลางแจ้ง ไม่เคยขี่มอเตอร์ไซค์ ไม่เคยโดนฝุ่น นั่งทำงานในห้องแอร์ตลอดวันยังเป็นต้อเนื้อ อายุก็เพียงยี่สิบกว่าๆ นั่นแสดงว่า ได้รับมรดกมาจากปู่ย่าตาทวดแน่ คือ ถ่ายทอดมาทางกรรมพันธุ์

💘ลักษณะโรคนี้เป็นอย่างไร

💖ต้อลมจะมีลักษณะเป็นก้อนนูนสีเหลือง ขนาดหัวไม้ขีดไฟ พบอยู่บนเยื่อตาขาวใกล้ๆ กับขอบตาด บริเวณทางด้านหัวตาหรือด้านหางตา กล่าวง่ายๆ ก็หมายถึง แนวที่เปลือกตาเปิดให้เยื่อตาขาวกระทบสิ่งต่างๆ 4 อย่างที่กล่าวมาทั้งหมดนั่นเอง แนวปิดเปิดเปลือกตา (palpebral fissure) จะไม่พบก้อนนูนสีเหลืองของโรคนี้บริเวณด้านบน หรือด้านล่างของขอบตาดำเป็นอันขาด🙋ก้อนเหลืองที่ว่านี้ ถ้าตัดออกไปส่องกล้องจุลทรรศน์ดูจะเป็นชิ้นเนื้อเยื่อพังผืดยืดหยุ่น (hyaline and elastic tissue) เท่านั้น จึงสามารถขยายขนาดได้ถ้าถูกกระตุ้นบ่อยๆ
🙎💓 จาก 4 สาเหตุที่กล่าวมาแล้ว อาจเป็นเพียงตาเดียว และด้านเดียว คือ ด้านหัวตาหรือหางตา บางคนเป็นสองตาทั้งหัวตาและหางตา จะสังเกตได้ง่ายมากในตาคนที่อายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป เห็นเป็นก้อนนูนเหลืองที่ขอบตาดำ เล็ก ใหญ่ มากน้อยแล้วแต่คน

👆💘อาการ💘

💘ต้อลมจะไม่มีอาการผิด💘ปกติเช่นเดียวกับต้อเนื้อ เป็นเพียงก้อนเหลืองสงบนิ่งที่ขอบตาดำเท่านั้น บางคนอาจมีเส้นเลือดทอดมาหล่อเลี้ยงมากผิดปกติ เห็นเป็นปื้นเนื้อเยื่อชัดเจน แต่ถ้าโดนลม โดนฝุ่นมากๆ และรุนแรง บวกกับร่างกายอ่อนเพลีย ความต้านทานลดต่ำ ก็อาจเกิดอาการอักเสบที่ต้อลมนี้ได้ จะเห็นเป็นก้อนเหลืองนูนสูงขึ้นมาชัดเจน รอบๆ จะมีสีแดงของเส้นเลือดฝอยมาเลี้ยงมากมาย มีอาการระคายเคือง น้ำตาไหล เจ็บเล็กน้อย อาจมีขี้ตาออกมาบ้างเมื่อตื่นนอนตอนเช้าๆ โรคนี้ไม่หายขาด เป็นแล้วเป็นอีก ตราบใดที่ยังวนเวียนกระทบอยู่กับสิ่งแวดล้อมทั้งสี่

😊การรักษา😐

1. ถ้าไม่อักเสบ ไม่ต้องรักษา แต่ถ้าก้อนโตมาก อาจให้ยาหยอดตาชนิดแก้แพ้ เพื่อให้ยุบการพองตัวลงได้บ้างแต่ไม่สนิทมิดหมด

2. ถ้าอักเสบ (pingueculitis) ต้องรักษาด้วยการให้ยาหยอดตาแก้อักเสบ ยาลดบวม ยาแก้แพ้ ไม่ควรออกกลางแจ้งบ่อย หาแว่นกันแดดสวมใส่กันลมและฝุ่นกระทบ

3. ถ้าก้อนโตมาก จนเกิดความรำคาญ อาจผ่าตัดออกด้วยการให้ยาชาเฉพาะที่ (ใช้เวลาไม่เกิน 15 นาที)

🍇🍍จึงพอสรุปได้ว่า ต้อลมเป็นโรคที่เกิดมาจากการโดนลมเป็นส่วนใหญ่ ลมนี้จะหอบเอาฝุ่นและไอความร้อนและรังสีอัลตราไวโอเลตติดมากระทบตาด้วย เมื่อเกิดเป็นเวลาติดต่อกันนานๆ จนเป็นผลให้เนื้อเยื่อที่กระทบเป็นก้อนนูนขึ้นมา วันดีคืนดีก็เกิดอักเสบได้ โรคนี้ไม่หายขาด แต่ไม่มีอันตรายร้ายแรงอะไรจึงเบาใจได้🌾🌿🌼

🚨🚨สัญญาณอันตราย🔦ตามัว 🔦สายตาฝ้าฟาง 🔦มองไม่ชัด🔦เคืองคันแสบ 🔦ต้อเนื้อ,ต้อลม,ต้อกระจก,ต้อหิน 🔦ประสาทตาเสื่อม 🔦ตาแห้ง 🔦เยื่อบุตาอักเสบ วุ้นในตาเสื่อม

👀บำรุงและป้องกันดวงตาด้วย👀ดีคอนแทค
🌻สารสกัดที่สกัดจากดอกดาวเรื่องแมคซิโก
🍒บิลเบอร์รี่🍇ยีสต์สกัด🍅เบต้า-แคโรทีน🍍วิตามิน บี🍊เจลาติน🌵🌵ที่จะช่วยยืดอายุดวงตาให้สวยใส เป็นประกาย

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่
กำลังประสบปัญหา “เกี่ยวกับดวงตา” … 
ดีคอนแทค dcontact ช่วยได้ค่ะ
อยากแชร์ให้ทุกคนเริ่มก้าวแรกกันค่ะ

อย่ามัวรอวันโน้น วันนี้ … ดวงตาสำคัญมากต่อการดำรงชีวิตนะค่ะ ที่สำคัญต้องทานของแท้นะค่ะ!!

ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์บำรุงดวงตา
“ดีคอนแทค” สามารถป้องกันและแก้ปัญหาตามัว มองไม่ชัด วุ้นในตาเสื่อม จอประสาทตาเสื่อม สั้น ยาว เอียง
และต้อทุกประเภทของคุณได้อย่างชัดเจน เห็นผลเร็ว

ยินดีให้คำแนะนำและปรึกษา สอบถามข้อมูลหรือสั่งซื้อสินค้า (24 ช.ม.)

โทร.081-926-1961 นันทภัค อุระนันท์ (หนิง)

Line id : @pshop01

วุ้นในตาเสื่อม

โรควุ้นในตาเสื่อม

โรควุ้นในตาเสื่อม ~ การมองเห็นเส้นสีดำคล้ายหยากไย่ ลอยไปตามตาที่กลอกไปกลอกมา ~

💿ในยุคที่ทุกคนเอาแต่ก้มหน้าก้มตามองแต่หน้าจอแบบนี้ โรคที่เกี่ยว

กับดวงตาทั้งหลาย จึงเป็นอีกโรคที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว หนึ่ง

ในนั้นก็คือโรคที่กวนใจไม่ใช่น้อยอย่าง “โรควุ้นในตาเสื่อม”

⚠ซึ่งในสมัยก่อนนั้นเป็นโรคที่จะเกิดกับผู้สูงอายุที่อวัยวะย่อมเสื่อมไปตามวัยและผู้ที่ประกอบอาชีพที่ต้องใช้สายตาในการเพ่งเป็นอย่างมากเช่น ช่างเจียระไน เท่านั้น แต่ในปัจจุบันด้วยไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างไป เราใช้ชีวิตกับหน้าจอสี่เหลี่ยมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจอคอมพิวเตอร์ จอโทรศัพท์ จอแท็ปเล็ต จอทีวี ซึ่งเป็นการใช้สายตาที่มากขึ้นทวีคูณย่อมส่งผลต่อการเสื่อมของวุ้นในตาที่มากขึ้นและเกิดขึ้นได้แม้จะอยู่ในวัยเรียนหรือทำงานก็ตาม

⚠โรคร้ายใกล้ตา⚠

โรควุ้นในตาเสื่อมนี้ เกิดจากการเสื่อมของ น้ำวุ้นตา (Vitreous) ซึ่งก็คือสารใสคล้ายเจลอยู่ภายในลูกตาส่วนหลัง ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้แสงผ่าน ให้สารอาหารแก่จอประสาทตาและเซลล์ผนังลูกตาชั้นใน และช่วยพยุงลูกตาให้คงเป็นรุปทรงกลม โดยปกติแล้วโรคนี้หากเกิดกับผู้สูงอายุ จะไม่มีอันตรายใดๆ เพราะเป็นการเสื่อมของอวัยวะตามธรรมชาติ แต่หากเกิดกับเราๆ ท่านๆ ในวัยทำงานแล้วล่ะก็ อาจกลายเป็นโรคร้ายถึงขั้นตาบอดได้เลยทีเดียว


⚠สังเกตได้ง่ายๆ โรคร้ายไกลตัว⚠

อาการโรควุ้นในตาเสื่อมจะทำให้เราจะมองเห็นจุดหรือเส้นรูปร่างต่างๆ เช่น คล้ายหยากไย่ลอยไปมา เหมือนคราบที่ติดกระจกเลยค่ะและจะเห็นชัดมากขึ้นเมื่อมองไปยังบริเวณที่มีสีสว่าง เช่น ท้องฟ้าหรือผนังห้องขาวๆ จะเห็นเป็นคราบดำๆ ลอยไปลอยมา จุดหรือเส้นเหล่านี้เกิดจากขณะที่น้ำวุ้นตาละลาย บางส่วนจะจับตัวกันเป็นตะกอน ซึ่งถ้าเป็นมากโดยมีอาการเห็นแสงคล้ายฟ้าแล่บแปล๊บ ๆ ในเวลาค่ำหรือในที่มืด ถึงขั้นนี้แปลว่าอาการหนักแล้วค่ะ ซึ่งถ้าปล่อยไว้ไม่รักษา อาจทำให้จอประสาทตาฉีกขาดและอาจทำให้ตาบอดได้เลยทีเดียว


⚠สาเหตุใหญ่ของวันทำงาน⚠

ปัจจุบันนี้คนเป็นโรควุ้นในลูกตาเสื่อมกันมากขึ้นเพราะการใช้คอมพิวเตอร์โดยเฉพาะวัยเรียนและวัยทำงาน ไม่ว่าคุณจะเล่นเน็ต,เล่นเกมส์, อ่านบทความหรืออะไรก็ตามที่อยู่บนจอคอมพิวเตอร์ล้วนทำให้สายตาคุณเสียได้ทั้งสิ้น เพราะการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์นั้นไม่เหมือนการอ่านหนังสือ เพราะการมองตัวหนังสือที่อยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์มีลักษณะแขวนลอยอยู่ในจอ จึงทำให้สายตามีโฟกัสที่ไม่แน่นอน ส่วงผลให้กล้ามเนื้อลูกตาทำงานหนักเพิ่มโอกาสที่จะทำให้สายตาเสียได้มากขึ้น……………..

รูปแบบการอ่านที่ต้องอาศัยการเลื่อนบรรทัดหนังสือขึ้นลงเพื่อจะอ่านบรรทัดต่อไปได้ก็เป็นการเลื่อนแบบกระตุก ซึ่งจะทำให้สายตาต้องปรับโฟกัสบ่อยเกินไป แสงสว่างจากจอคอมพิวเตอร์ก็ส่งผลให้สายตาเสียเช่นกันรวมไปถึงการใช้จอคอมพิวเตอร์ที่มีความกว้างมากเกินไป ซึ่งไม่เหมาะกับอ่านหนังสือ เพราะว่าสายตาคนเรานั้นมีระยะการมองเห็นตัวอักษรที่ 1 ฟุต (12นิ้ว) แต่จอคอมสมัยนี้กลับมีความกว้าง 17- 19 นิ้ว หรือมากกว่านั้น ซึ่งกว้างเกินระยะกวาดสายตามอง จากขอบหนึ่งไปสู่อีกขอบหนึ่งทำให้ปวดทั้งคอทั้งตาได้ ซึ่งขนาดของจอคอมพิวเตอร์จึงไม่ควรเกิน 15 นิ้ว


⚠โรคร้าย แต่ป้องกันได้⚠

การป้องกันและรักษาโรควุ้นในตาเสื่อมสำหรับการรักษาโรควุ้นในตาเสื่อมนั้น หากเกิดในผู้สูงอายุจะไม่สามารถรักษาให้หายได้ เพราะเกิดจากความเสื่อมของอวัยวะ แต่สำหรับวัยทำงานยังพอสามารถรักษาอาการข้างเคียงของโรคนี้ได้บ้าง เช่นถ้าจอประสาทตาฉีกขาดให้รีบไปพบจักษุแพทย์ ซึ่งจะใช้เลเซอร์ซ่อมแซมรอยขาดให้ปิดสนิท ก็ทำให้คุณยังมีดวงตาไว้ถนอมใช้ได้อีกนาน ส่วนการป้องกันโรควุ้นในตาเสื่อมได้ง่ายๆ ดังนี้คะ

1.ป้องกันไม่ให้ดวงตาได้รับการกระทบกระเทือนทั้งจากการเล่นกีฬา จากอุบัติเหตุ และอื่น ๆ เพราะการที่ดวงตาถูกกระแทกแรง ๆ ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้วุ้นในตาเสื่อมได้เร็วขึ้น

2.อย่าอ่านหนังสือในที่มืด เพราะจะทำให้สายตาสั้น สายตาสั้นจะทำให้วุ้นในลูกตาเสื่อมง่าย

3.ไม่ควรนอนในที่สว่างจ้า หรือมีแสงสว่างส่องโดยตรง เพราะในภาวะนี้แม้ร่างกายจะหลับ แต่ลูกตายังคงได้รับแสงและยังทำงานอยู่ เมื่อลูกตาทำงานหนัก วุ้นก็จะเสื่อมได้ง่ายมากขึ้น


เรื่องของดวงตาก็เป็นอีกหนึ่งอวัยวะที่น่าเป็นห่วงไม่แพ้ส่วนอื่นของร่างกายเลยนะคะ การใช้ชีวิตที่สมดุลกันระหว่างร่างกายกับเทคโนโลยี นอกจากจะไม่เป็นการทำร้ายดวงตาทางตรงแล้ว การได้ทำกิจกรรมอื่นๆ บ้างนอกเหนือจากการเฝ้ามองหน้าจอก็จะช่วยให้เราได้ใช้ชีวิตอย่างมีมิติมากขึ้นอีกด้วยค่ะ



👀หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังประสบปัญหา “เกี่ยวกับดวงตา👀” … ดีคอนแทค dcontact ช่วยได้มาก ๆๆๆๆๆ
อยากแชร์ให้ทุกคนเริ่มก้าวแรกกันค่ะ อย่ามัวรอวันโน้น วันนี้ … ดวงตาสำคัญมากต่อการดำรงชีวิตนะค่ะ ที่สำคัญต้องทานของแท้นะค่ะ!!

ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์บำรุงดวงตา “ดีคอนแทค”💊
สามารถป้องกันและแก้ปัญหาตามัว มองไม่ชัด วุ้นในตาเสื่อม จอประสาทตาเสื่อม สั้น ยาว เอียง
และต้อทุกประเภทของคุณได้อย่างชัดเจน เห็นผลเร็ว

ยินดีให้คำแนะนำและปรึกษา สอบถามข้อมูลหรือสั่งซื้อสินค้า (24 ช.ม.)

โทร.081-926-1961 นันทภัค อุระนันท์ (หนิง)

Line id : @pshop01

กินอาหารเหล่านี้…หัวใจดีแน่นอน

กินอาหารเหล่านี้...หัวใจดีแน่นอน

🍀กระเทียม – อาหารประจำครัวของคนไทย มีสรรพคุณมากมาย เช่น ต้านการเกิดมะเร็ง และยังช่วยทำให้การเต้นของหัวใจช้าลง เพิ่มการบีบและคลายตัวของหัวใจ ทำให้ระบบทางเดินหายใจดีขึ้น รวมทั้งขยายหลอดเลือด ทำให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่น และลดแรงดันโลหิต ช่วยยับยั้งการแข็งตัวของหลอดเลือด กินกระเทียมสดวันละ 2-3 กลีบ จะช่วยให้หัวใจแข็งแรง

☘ผักตระกูลกะหล่ำ – เช่น กะหล่ำปลี บร็อคโคลี ดอกคะน้า มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง และโรคหลอดเลือดหัวใจ

🌿หัวหอม – เช่น หัวหอมใหญ่ หัวหอมแดง อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลที่เป็นตัวก่อให้เกิดโรคหัวใจ และทำให้ระบบทางเดินหายใจมีสุขภาพดีขึ้น ช่วยรักษาโรคหอบ โรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ ฯลฯ และยังมีสารสำคัญคือฟลาโวนอยด์ มีคุณสมบัติช่วยป้องกันไขมันไม่ให้เกาะตามผนังเส้นเสือด ช่วยป้องกันโรคหัวใจ

🍃พืชตระกูลถั่ว – ได้แก่ ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง และถั่วขาว ประกอบด้วยไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยลดระดับโคเลสเตอรอล ทำให้ลดอัตราการเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจด้วย

🐟ปลาทะเล – เช่น ปลาทู ปลาจะละเม็ด ปลาสำลี ปลาซาร์ดีน ฯลฯ อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองและหัวใจ ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ลดการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือด

🌶พริกขี้หนู – มีสารแคปไซซิน ซึ่งมีผลต่อการขยายตัวของหลอดเลือด ยับยั้งการหดตัวของหลอดเลือด และช่วยละลายลิ่มเลือดที่อุดตันในหลอดเลือดหัวใจ จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ

🍃ใบเตยหอม – มีสรรพคุณลดอาการกระหายน้ำ และบำรุงหัวใจ การดื่มน้ำใบเตยจะช่วยให้หายเหนื่อยและสดชื่น

🌿ดีบัว – คือเมล็ดในของฝักบัว ช่วยลดความดันโลหิต เพิ่มการไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ และขยายหลอดเลือดหัวใจ ช่วยบำรุงหัวใจ มีฤทธิ์กระตุ้นหัวใจ และป้องกันอาการหัวใจเต้นไม่ปกติ

ยินดีให้คำแนะนำและปรึกษา สอบถามข้อมูลหรือสั่งซื้อสินค้า (24 ช.ม.)

โทร.081-926-1961 นันทภัค อุระนันท์ (หนิง)

Line id : @pshop01

เบาหวานขึ้นตา

โรคเบาหวานขึ้นตา อันตรายส่งผลร้ายแรงถึงขั้นสูญเสียการมองเห็น

โรคเบาหวานขึ้นจอประสาทตา เป็นโรคแทรกซ้อนของเบาหวานที่เกิดจากการควบคุมน้ำตาลในเลือดไม่คงที่ ส่งผลให้ลุกลามไปที่ตาทำให้เกิดอันตรายต่อดวงตา

ตั้งแต่ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน มองเห็นภาพแคบลง ไปจนถึงการสูญเสีย การมองเห็นโดยผลมาจากจอประสาทตาเสื่อม

โรคตาที่เกิดจากเบาหวาน

1.เบาหวานขึ้นจอรับภาพสาเหตุเกิดจาก

– เส้นเลือดที่เลี้ยงจอรับภาพถูกทำลาย อาจทำให้ตาบอด

– เส้นเลือดที่เลี้ยงจอนรับภาพบวมและรั่ว

– เส้นเลือดงอกผิดปกติ ที่รอรับภาพ ทำให้มีเลือดออกในลูกตา

2.ต้อกระจก เกิดจากเลนส์แก้วตาเปลี่นสภาพจากใสเป็นขุ่น โอกาสเกิดโรคต้อกระจกของผู้เป็นเบาหวานจะสูงกว่าคนปกติ ถึง 2 เท่า

  1. ต้อหิน เกิดจากความดันลูกตาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จนทำลายขั้วประสาทตาแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยไม่รู้สึกตัว ไม่มีอาการเตือนซึ่งจะพบบ่อยในผู้เป็นเบาหวาน

อาการของจอประสาทตาเสื่อม

  • ในระยะแรกของโรคผู้ป่วยมักไม่มีอาการผิดปกติ แต่จะค่อยเป็นค่อยไปจนกว่าจะตามัว
  • ต่อมาจะพบว่าการมองเห็นเริ่มผิดปกติ หรือเริ่มมีอาการตามัย เนื่องจากจอประสาทตาบม
  • ในบางรายหากมีอาการผิดปกติมากขึ้น จะพบเส้นเลือดผิดปกติงอกออกมา ซึ่งผนังของหลอดเลือดดังกล่าว จะเปราะและแตกง่าย
  • ในระยะรุนแรงของโรคจะมีเลือด น้ำเหลือง และน้ำตา จำนวนมากเกาะที่จอประสาทตาทำให้ประสาทตาส่วนนั้นไม่สามารถจับภาพได่ เมื่อทิ่งไว้นานๆ ประสาทจะเสื่อมและสูญเสียการมองเห็นไปในที่สุด

การรักษา

1.ในระยะที่เบาหวานขึ้นจอตาไม่มาก จักษุแพทย์จะแนะนำให้ควบคุมระดับน้ำตาลให้ดี และนัดมาดูเป็นระยะๆ

2.สำหรับเบาหวานขึ้นจอประสาทตาในระดับที่ 1 และระยะลุกลามจำเป็นต้องได้รับการฉายแสงเลอเซอร์ ที่จอประสาทตา เพื่อหยุดยั้งการเจริญเติบโตของหลอดเลือด

3.การรักษาโดยการผ่าตัด ทำในรายที่มีเลือดออก และจอตาหลุดเพื่อทำให้การมองเห็นดีขึ้น

การป้องกัน

– ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ ด้วยการคุมอาการ ออกกำลังกาย ใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์

-ควรได้รับการตรวจสุภาพตา โดยจักษุแพทย์อย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง เพื่อตรวจหาโรคแทรกซ้อน และสามารถรักษาโรคทางตาได้ตั้งแต่เริ่มต้น

ยินดีให้คำแนะนำและปรึกษา สอบถามข้อมูลหรือสั่งซื้อสินค้า (24 ช.ม.)

โทร.081-926-1961 นันทภัค อุระนันท์ (หนิง)

Line id : @pshop01

ดีคอนแทค (D-CONTACT)

ดีคอนแทค (D-CONTACT)

ส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ ดีคอนแทค (D-CONTACT)

อาหารเสริมบำรุงสายตา จาก บริษัท D Network เป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดเป็นการใช้สูตรทางวิทยาศาตร์ ที่ได้รับการรับรองด้วยการนำเอาสารซานโทฟิว และไกลท๊อกซาทินมารวมกัน พร้อมสารอาหารอีกหลายชนิดสูตรนี้จะเป็นสารอาหารที่ช่วยเริมกับสารอาหารอื่นๆ เป็นอย่างดีจัดว่าเป็นทางเลือกที่ดีเยี่่ยมกับดวงตา ช่วยถนอมดวงตา ส่งเสริมการมองเห็น ป้องกันจอตา ลดการเกิดต้อกระจก ช่วยรักษาการรับสีของตา

ส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ ดีคอนแทค(D-CONTACT)

สารสกัดจากดอกดาวเรือง(มีสารLutein 30 มก. Zeaxanthin 0.9 มก.)     150 มก.

สารสกัดจากบิลเบอร์รี่     30 มก.

สารสกัดจากส้ม(มีสารQuercetin)     30 มก.

ยีสต์สกัด     30 มก.

เบต้า-แคโรทีน     5 มก.

วิตามีน บี 2     2 มก.

เจลาติน     42.78 มก.

น้ำ     10.20 มก.

Brilliant Blue FCF     0.01 มก.

ส่วนประกอบที่สำคัญในผลิตภัณฑ์ ดีคอนแทค(D-CONTACT)

  1. สารสกัดดอกดาวเรือง(ซานโทฟิว , ไคลป์ท๊อกซาติน)

จากการศึกษากายวิภาคของมนุษย์พบว่าสารสีเหลืองในผลึกเลนส์ตาและจอประสาทตา macula lutea ส่วนใหญ่เป็นซานโทฟิว ,ไคลป์ท๊อกซาดิน ซึ่งองค์ประกอบ 2 ตัวนี้เท่านั้นที่สามารถจะผ่านเข้าไปในเลนส์ผนึกและจอประสาทตา lutea macula เพื่อเป็นอาหารบำรุง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจะสามารถคงอยู่ในตาเพื่อพื้นฟูดวงตาได้อย่างง่ายขึ้น ช่วยบรรเทาผลกระทบจากอนุมูลอิสระทีเป็นอันตราย ช่วยดูดซับแสงสีน้ำเงินที่เป็นอันตราย ต่อตาและหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บจากการลำแสงที่มากระทบดวงตาการเปลี่ยนแปลงของจอประสาทได้แล้วกลายเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผู้สูงอายุเสียประสิทธิภาพการมองเห็นแต่ถ้าพวกเขาสามารถบำรุงดวงตาด้วยการเสริมซานโทฟิวและไคลป์ท๊อกซาตินเข้าไปก็จะเป็นประโยชน์ในการรักษาสายตาของพวกเขา และอาจลดอุณหภูมิ เลนส์ของจอประสาทตาและเลนส์ตาด้วย และยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดต้อกระจกด้วย

ส่งเสริมการมองเห็น เมื่อแสงสว่างและออกซิเจนมากระทบลูกตาจะทำให้เกิดอนุมูลอิสระที่ทำให้เกิดอันตรายต่อดวงตาแต่ซานโทฟิว ซึ่งเป็นสารอนุมูลอิสระเข้มข้นสูงมากจะช่วยกรองแสงสีน้ำเงินและลดการเกิดปัญหาที่จะทำให้การมองเห็นที่ไม่ดีทำให้การมองเห็นชัดเจนแม่นยำมากขึ้น

ป้องกันจอตา จอตาประกอบไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัว (DHA)  ดังนั้นซานโทฟิวเป็นสารที่มีประโยชน์สำหรับจอตาช่วยในการหลีกเลี่ยงการถูกทำร้ายโดยการทำปฎิกริยาออกซิเดชั่นเมื่อจอตาจะรับแสง

ลดการเกิดต้อกระจก ซานโทฟิวซึ่งเป็นแคโรทีนตัวเดียวเท่านั้น ที่สามารถอยู่ในผนึกเลนส์ตาได้อนุมูลอิสระจะมาทำลายโปรตีนในเลนส์ตาและก่อให้เกิดต้อกระจก

ช่วยรักษาการรับสีของตา เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการรับสีของจอตาผิดปกติ , เซลล์รับแสงรูปแท่งและรูปพีระมิดจะเกิดน้อยลงหากเราเสริมด้วยซานโทฟิวก็จะช่วยในการรับสีของจอตาได้ดีขึ้น  นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าแคโรทีนนอยส์สามารถทำงานโดยใช้รวมกับองค์ประกอบอื่นๆหากใช้แยกองค์ประกอบหนึ่งก็จะไม่สามารถช่วยในการฟิ้นฟู การต่อต้านได้ ดังนั้นอาหารเสริมใช้ร่วมกันจะให้ผลดีมากขึ้น

  1. เบตาแคโรทีน เป็นองค์ประกอบตั้งต้นพื้นฐานของวิตามินเอ เรียกว่า “วิตามินของลูกตา” ซึ่งมันจะช่วยรักษาให้ดวงตามีสุขภาพที่ดี เสริมสร้างระบบการมองเห็น  ช่วยส่งเสริมการผลิตเม็ดสีแสง intraocular เสริมสร้างสายตาให้ดีขึ้นและป้องกันตาบอดสีกลางคืน นอกจากนี้ยังอาจเสริมสร้างการทำงานของตาในการแยกแตกต่างของสี
  2. วิตามินบี 2 อาจถือได้ว่าเป็นอาหารเสริมเหมาะสมแก่การสร้างความเจริญเติบโตให้แก่คนทั่วไปที่แตกต่างวัยกัน บุคคลที่ขับรถเวลากลางคืนเป็นประจำ หรือผู้สูงวัย

เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการ ดังนี้

ผู้ที่มีอาการสายตาสั้นเทียม

ผู้ที่ใช้คอนแทคเลนส์มาเป้นระยะเวลานาน

ผู้ที่มีจอตาเปลี่ยนแปลงสภาพที่เกิดจากโรคเบาหวาน

พนักงานที่อยู่ประจำสำนักงานซึ่งมีการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน

พนักงานผู้ที่ทำงานผลัดกลางคืนมาเป็นระยะเวลานาน

ผู้ที่ขับรถเป็นระยะเวลานานๆ (เช่นคนขับแท็กซี่และผู้โดยสารและคนขับรถบรรทุก)

ผู้สูงอายุที่มีสายตาฝ้าฟางที่มีแนวโน้มที่น้ำตาจะไหลเมื่อเห็นแสงจ้า ผู้ที่มีสายตายาว วุ้นในตาเสื่อมซึ่งทำให้ความสามรถในการมอง

เห็นลดลง เยื่อบุตาอักเสบ ต้อกระจก ต้อหิน ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงมากๆ ผู้ที่มีปัญหาจอประสาทตา/เลนส์ตามีการเปลี่ยนแปลง

วิธีรับประทาน

เช้า 2 แคปซูล และเย็น 2 แคปซูล 

** อาการปรับสมดุล “ดวงตา” ที่แสดงว่าท่านได้ผลตอบรับในทางที่ดี อาจเกิดขึ้น 3-7 วัน หลังทาน ดี-คอนแท็ค

– ตาสว่างขึ้น , แจ่มใส

– อาจมีอาการปวดกระบอกตา (เฉพาะบางคน)- มีน้ำตาไหล หรือ มีขี้ตาออกมาก (เฉพาะบางคน) 

ให้รับประทานต่อไป…หากทีอาการมากเกินไปจนทนไม่ไหวให้ลดปริมาณการทานเหลือ เช้า 1 แคปซูล เย็น1 แคปซูล หลังอาหาร

เลขที่่ อย.  24-1-20555-1-0060

ปริมาณสุทธิ

ขนาดบรรจุ 30 แคปซูล / 1 กล่อง

ยินดีให้คำแนะนำและปรึกษา สอบถามข้อมูลหรือสั่งซื้อสินค้า (24 ช.ม.)

โทร.081-926-1961 นันทภัค อุระนันท์ (หนิง)

Line id : @pshop01

ตาต้อ

ตาต้อ

“ต้อ” เป็นคำทั่วไปหมายถึงตา ดังนั้น เมื่อบอกว่าเป็นโรคต้อ ต้องระบุให้ชัดเจนว่าเป็นโรคต้อชนิดใด ที่พบบ่อยๆ และควรทราบ เรียงลำดับตามความรุนแรงจากน้อยไปมาก ดังนี้

1.โรคต้อลม (Pinguecular)

มีลักษณะเป็นเยื่อสีขาวหรือขาวเหลืองบริเวณตาขาวข้าง ๆ ตาดำ เกิดจากการถูกสิ่งระคายเคืองต่อเยื่อบุตา (เช่น ลม ฝุ่น แสงแดด) มาเป็นเวลานาน มักทำให้มีอาการเคืองตาง่าย ไม่ทำให้ตามัวหรือบอด

2.โรคต้อเนื้อ (Pterygium)

โรคต้อเนื้อเป็นโรคที่ต่อเนื่องมาจากโรคต้อลม แต่เยื่อบุตาลามเข้ามาถึงบริเวณกระจกตาดำ (cornea) เป็นลักษณะคล้ายเนื้อเยื่อสีขาวออกแดงบริเวณกระจกตาด้านหัวตาหรือหางตา เกิดจากการถูกสิ่งระคายเคืองมาเป็นเวลานานหลายปี ทำให้มีอาการเคืองตาและตาแดงบริเวณต้อเนื้อ เมื่อถูกสิ่งระคายเคือง ไม่ทำให้ตามัวหรือบอด

3.โรคต้อกระจก (Cataract)

โรคต้อกระจกเป็นโรคที่เกิดจากการขุ่นของเลนส์แก้วตา (lens) ในลูกตา ทำให้การมองเห็นภาพมีลักษณะคล้ายเป็นหมอกหรือควันขาวๆ บัง มักเป็นจากการเสื่อมสภาพของเลนส์ตาตามอายุ แต่อาจเป็นตั้งแต่กำเนิด หรือเกิดหลังอุบัติเหตุต่อดวงตาก็ได้ มักทำให้ตามัวมากขึ้นเรื่อยจนอาจมองไม่เห็นในที่สุดถ้าไม่ได้รับการรักษา

4.โรคต้อหิน (Glaucoma)

ต้อหินเป็นโรคที่มีความดันในลูกตาสูงจากการระบายออกของน้ำเลี้ยงในลูกตา (aqueous) น้อยผิดปกติ ทำให้ลูกตาแข็งขึ้น จนกระทั่งกดขั้วประสาทตา (optic disc) ทำให้มีการเสียของลานสายตาการมองเห็น จนกระทั่งตาบอดสนิทได้ในที่สุด

ยินดีให้คำแนะนำและปรึกษา สอบถามข้อมูลหรือสั่งซื้อสินค้า (24 ช.ม.)

โทร.081-926-1961 นันทภัค อุระนันท์ (หนิง)

Line id : @pshop01

ดูแลดวงตา

มาดูแล ดวงตากันเถอะ

   “ระยะนี้พบว่ามีผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องสายตาเข้ามาพูดคุยด้วยค่อนข้างบ่อย โดยส่วนใหญ่บอกตรงกันว่ามีการใช้สมาร์ทโฟนในการแชตสนทนาเป็นหลัก เมื่อก่อนปัญหาไม่เยอะเท่านี้ ซึ่งยอมรับว่ามีความกังวล เพราะตอนนี้มีคนไข้มาหาอยู่เรื่อยๆ และเกือบทุกวัยด้วย”
     แนะนำว่า หากดวงตาประสบภาวะเทคโนโลยีซินโดรมเป็นเวลานาน อาจลุกลามทำให้กลายเป็นต้อหิน นำไปสู่การทำลายเส้นประสาทตาจนดวงตาพร่ามัว หากอาการหนักดวงตาจะบอดในที่สุด

    วิธีการดูแลตัวเองให้รอดพ้นจากอาการนี้คือ นอนหลับอย่างน้อยวันละ 7 ชั่วโมง ดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นในตา ควรเปิดไฟให้มีแสงสว่างเพียงพอ และใช้เทคโนโลยีเท่าที่จำเป็น โดยใช้ประมาณ 25 นาที พัก 5 นาที หรือใช้ 30 นาที พัก 10 นาที พร้อมทั้งเปลี่ยนอิริยาบถเป็นระยะ

👀ตัวอย่างอาหารบำรุงสายตา👀
   
     👉สารสกัดจากดอกดาวเรือง🌻 ช่วยกรองหรือป้องกันรังสีจากแสงที่เป็นอันตรายต่อตา ช่วยป้องกันต้อกระจก โรคจอรับภาพเสื่อมโรคหัวใจ❤และหลอดเลือด
     👉 สารสกัดจากบิลเบอร์รี่  ช่วยถนอมดวงตา ช่วยให้การมองเห็นในที่มืดดีขึ้น รักษาอาการตาบอดกลางคืน  ลดอาการเมื่อยล้าของดวงตา
     👉 สารสกัดจากส้ม ช่วยให้เลือดฝอยในตาสะอาด ลดการเสี่ยงการเป็นต้อหิน
     👉 เบต้าแคโรทีน ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ลดความเสี่ยงของเซลส์ลูกตา

     ดังนั้นในแต่ละวันเราจึงควรหยุดพัก และ ละสายตาจากจอต่างๆ เป็นระยะ เผื่อผ่อนครายสายตา  และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ อย่ารอ❕ ที่จะดูแลถนอมสุขภาพตาของคุณ เพื่อให้ได้เป็นเจ้าของดวงตาที่สดใสไปนานๆ

ยินดีให้คำแนะนำและปรึกษา สอบถามข้อมูลหรือสั่งซื้อสินค้า (24 ช.ม.)

โทร.081-926-1961 นันทภัค อุระนันท์ (หนิง)

Line id : @pshop01

ต้อหิน

ดูทีวี-เล่นมือถือในที่มืด ระวังต้อหินคุกคามจนตาบอด

ต้อหิน โรคร้ายของดวงตาที่มาจากการใช้สายตาในที่มืดมากเกินไป คนติดแชท ติดดูทีวีในที่มืด ระวังไว้เลย !

          เวลานอนบนเตียงหรือโซฟานุ่ม ๆ ดูทีวีไป เล่นสมาร์ทโฟนไป รู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูกเลยเนอะ แถมหลายคนยังชอบปิดไฟนอนเล่นให้ได้บรรยากาศมืด ๆ ทึม ๆ ซะด้วย แต่ความสบายแบบชิล ๆ ที่เราทำอยู่ทุกวันแบบนี้ รู้ไหมว่าคุณกำลังทำร้าย “ดวงตา” ของตัวเองอยู่นะ และเผลอ ๆ อาจถึงขั้นตาบอดได้ด้วย !!!

 ขอบอกว่านี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้จริง ๆ โดย นายแพทย์ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ ผู้เชี่ยวชาญโรคตาประจำโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จังหวัดนนทบุรี ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า การที่สมัยนี้คนใช้เทคโนโลยีกันมากขึ้น ทั้งเล่นคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน ไอแพด ดูโทรทัศน์ ทำให้เกิดโรค “เทคโนโลยีซินโดรม” ตามมา ซึ่งหนึ่งในอาการที่เกิดขึ้นก็คือ “โรคต้อหิน” อันมีสาเหตุมาจากความเครียดจนทำให้ความดันลูกตาขึ้นได้

          สำหรับโรคต้อหินนั้น นายแพทย์ฐาปนวงศ์ ได้อธิบายว่า โรคนี้จะมีการทำลายของเส้นประสาทตาจากหลายสาเหตุ สาเหตุสำคัญเกิดจากความดันในลูกตาสูงเกินไป ทั้งจากการสร้างน้ำในลูกตามากเกินไป หรือระบายออกน้อยเกินไป ซึ่งอาจเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน หรือค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ และคนเป็นจะไม่รู้ตัว 

          ทั้งนี้ หากเป็นแล้วจะมีผลให้ลานสายตาแคบลงเรื่อย ๆ หากไม่รักษา ปล่อยทิ้งไว้ จะสูญเสียการมองเห็นไปในที่สุด แม้จะรักษาความดันได้เป็นปกติ แต่สายตาจะไม่กลับคืนเป็นปกติ หรือเรียกว่าสูญเสียอย่างถาวร หากบอดแล้วบอดเลย หรือตาพร่ามัวตลอดชีวิต

แล้วการปิดไฟดูทีวี เล่นสมาร์โฟนในที่มืด จะทำให้เป็นต้อหินได้อย่างไรล่ะ?

          นั่นก็เพราะการใช้เทคโนโลยีมาก ๆ นาน ๆ จะทำให้สายตาล้า มีอาการตาแห้ง จึงเกิดความเครียดขึ้นได้ และไปทำให้ความดันในลูกตาสูงขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของต้อหิน การที่สายตาล้าก็เกิดจากการเพ่งภาพหรือตัวอักษรหน้าจอที่มีขนาดเล็กมากเกินไป ยิ่งเราเพ่งก็จะยิ่งทำให้ม่านตาขยายใหญ่ขึ้นกว่าปกติ โดยเฉพาะผู้ที่นิยมปิดไฟดูทีวี เล่นสมาร์ทโฟน ไอแพด ส่องไฟฉายอ่านหนังสือ คนกลุ่มนี้ต้องใช้สายตากำกับตลอดเวลา ทำให้กล้ามเนื้อตาล้า ตาแห้ง เครียดตลอดเวลา ยิ่งรายละเอียดเยอะตาก็ยิ่งทำงานหนัก จึงเสี่ยงต่อโรคเทคโนโลยีซินโดรมนี่แหละ

          ว่าแล้วก็มาดูอาการเตือนของความเครียดที่กำลังจะเกิดขึ้นจากการเพ่งมากเกินไปดีกว่า เริ่มจากรู้สึกแสบตา ตาแห้ง น้ำตาไหล กะพริบตาบ่อย ปวดเมื่อยล้าที่กระบอกตา สายตาพร่า มองเห็นไม่ชัด บางคนอาจปวดศีรษะไมเกรนร่วมด้วย 

          หากใครรู้ว่าตัวเองกำลังสุ่มเสี่ยงมีปัญหาทางสายตา หรือมีอาการไปแล้ว ก็ต้องหาวิธีบรรเทาและรักษาตัวเองกันก่อนเลย ง่าย ๆ ทำได้ชัวร์ ตามนี้

  1. นอนหลับเป็นเวลา ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ  
  2. ดื่มน้ำบ่อย ๆ เพื่อเพิ่มน้ำให้ตาให้ชุ่มชื้นขึ้น 
  3. ทำประคบเย็น โดยให้ใช้ผ้าขนหนูหนาหรือผ้าเช็ดหน้า พับ ส่วน นำไปแช่น้ำที่มีน้ำแข็งจนเย็น บิดหมาด ๆ วางปิดตั้งแต่ขมับให้ทับพาดผ่านดวงตา เว้นสันจมูก ไปถึงขมับอีกข้าง ถ้าเย็นเกินไปให้เอาออก หากหายเย็นให้นำไปแช่น้ำเย็นใหม่อีกครั้ง ทำติดต่อกันอย่างน้อย 20 นาที พัก นาที วันละ หน จะช่วยลดความเครียด เพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา 
  4. ควรเปิดไฟดูทีวี อ่านหนังสือ ใช้สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตในที่ ๆ มีแสงสว่างเพียงพอ
  5.  ควรใช้เทคโนโลยีเท่าที่จำเป็น คือ ไม่ควรเกิน 25 นาที และให้หยุดพัก นาที หรือถ้าใช้นาน 30 นาที ก็ต้องหยุดพัก 10 นาที 
  6. เปลี่ยนอิริยาบถสลับกันไป  
  7. พยายามควบคุมจิตใจตัวเอง หากไม่จำเป็น อย่าไปยุ่งกับเทคโนโลยี 

 วิธีข้างต้นนี้จะช่วยป้องกันให้ชาวโซเชียลเน็ตเวิร์กทุกคนห่างไกลจากโรคทางสายตาต่าง ๆ รวมทั้งต้อหินที่ทำอันตรายร้ายแรงถึงขั้นตาบอดได้เลย 

 ที่มา : กระปุกดอทคอม  

ยินดีให้คำแนะนำและปรึกษา สอบถามข้อมูลหรือสั่งซื้อสินค้า (24 ช.ม.)

โทร.081-926-1961 นันทภัค อุระนันท์ (หนิง)

Line id : @pshop01

มองเห็นไม่ชัด 

มองเห็นไม่ชัด สัญญาณอันตราย 5 โรค “ตา” ที่ผู้สูงอายุควรระวัง

นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ในปี 2568 คาดว่า จะมีสูงอายุร้อยละ 20 จากประชากรทั้งหมด โดยที่ร้อยละ 85 ของผู้สูงอายุสามารถดูแลตนเองได้ และที่ต้องพึ่งพิงคนอื่นเกือบร้อยละ 15 ผลกระทบสุขภาพของผู้สูงอายุนอกจากโรคเรื้อรังสุดฮิตทั้งอันดับต้นๆ คือ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคอ้วนลงพุง และโรคข้อเสื่อม

นอกจากนี้ยังพบว่า มีผู้สูงอายุกว่าร้อยละ 70 ที่สายตาไม่ดี การมองเห็นไม่ชัดเจน เกิดภาวะสายตาเลือนราง หรืออาจตาบอด ถ้าไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่แรก ซึ่งโรคตาที่พบมากในผู้สูงอายุ ได้แก่

1. ต้อกระจก พบได้บ่อยที่สุดและเป็นทุกคนเมื่อมีอายุมากขึ้น เกิดจากเลนส์แก้วตาขุ่น ทำให้แสงผ่านเข้าไปในตาได้น้อยลง เกิดจากปัจจัยเสี่ยง คือ อายุมากขึ้น หรือมีปัจจัยเสี่ยงร่วม เช่น การได้รับแสง UV บ่อยๆ หรือแสงแดดจ้า โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ทำให้เป็นต้อกระจกได้เร็วขึ้น ยากินและหยอดตากลุ่มสเตียรอยด์ เป็นต้น

ผู้ป่วยต้อกระจกจะมีตามัวลง เห็นภาพซ้อน ตาสู้แสงไม่ได้อาจเริ่มจากต้องเปลี่ยนแว่นบ่อยๆ ต่อมามัวลงมาก ปรับแว่นอย่างไรก็ไม่ดีขึ้น อาจมองเห็นภาพเป็นสีเหลือง บางคนอาจมองเห็นแสงกระจายในที่สว่างจ้า สามารถชะลอความเสื่อมได้บ้างด้วยการสวมแว่นกันแดดป้องกันรังสี UV

2. ต้อหิน พบได้น้อยกว่าต้อกระจก แต่เป็นภัยเงียบที่อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรโดยที่ผู้ป่วยไม่ทันรู้ตัว เกิดจากความดันในลูกตาที่สูงขึ้นจนมีการทำลายประสาทตา ผู้ที่มีบุคคลในครอบครัวเป็นต้อหินก็จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ส่วนปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ได้แก่ เชื้อชาติ อายุ ภาวะสายตาสั้นมากๆ โรคประจำตัวบางชนิด เช่น เบาหวาน การใช้ยาสเตียรอยด์อย่างต่อเนื่องโดยกิน ฉีด หรือหยอดตา หรือเคยได้รับอุบัติเหตุทางตามาก่อน

สำหรับอาการในช่วงแรกของโรคมักไม่มีอาการ จะเริ่มสูญเสียลานสายตา คือ การมองเห็นจำกัดวงแคบลง จากด้านข้างเข้ามาตรงกลางเรื่อยๆ และสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร อาจมีต้อหินบางประเภท เช่น ต้อหินมุมปิดเฉียบพลันที่มีอาการปวดมาก เห็นแสงรุ้งรอบดวงไฟ มัวลงมาก และตาแดง ถือเป็นภาวะเร่งด่วนมากต้องมาพบจักษุแพทย์ทันที

ที่สำคัญผู้ป่วยต้อหินทุกคนต้องมาตรวจติดตามอย่างสม่ำเสมอ และปฏิบัติตามคำแนะนำของจักษุแพทย์อย่างเคร่งครัด และยังไม่มีวิธีการรักษาใดที่จะทำให้การมองเห็นเป็นปกติ ทำได้เพียงมิให้การมองเห็นแย่ลงกว่าเดิม ดังนั้ควรตรวจคัดกรองความเสี่ยงต้อหินเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป หากไม่มีความเสี่ยงก็ควรตรวจตาเป็นประจำทุกปีอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่ไม่มีอาการ แต่ถ้าสงสัยหรือสังเกตพบความผิดปกติต้องรีบพบจักษุแพทย์โดยเร็ว

3. จุดภาพชัดที่จอตาเสื่อม เกิดจากภาวะเสื่อมของบริเวณจุดภาพชัดที่อยู่ส่วนกลางของจอตา ทำให้การมองเห็นส่วนกลางของภาพมัวลง โดยที่บริเวณรอบข้างยังเห็นได้เป็นปกติ เกิดจากปัจจัยเสี่ยง คือ ภาวะสูงวัย แสง UV การสูบบุหรี่ และความดันโลหิตสูง ในระยะเริ่มต้นอาจไม่มีอาการ ต่อมาเมื่อจอตาเสื่อมมากขึ้น จะมีอาการตามัว เห็นภาพบิดเบี้ยว เห็นจุดดำอยู่กลางภาพ และสูญเสียการมองเห็นตรงกลางภาพโดยไม่มีอาการปวด

ผู้สูงอายุควรตรวจตาเป็นประจำทุกปี หรือเมื่อสังเกตพบความผิดปกติต้องรีบมาพบจักษุแพทย์ และควรหยุดสูบบุหรี่ และสวมแว่นกันแดดเป็นประจำ และหมั่นรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผัก – ผลไม้สีเขียว – สีเหลือง ถั่วแดง เป็นต้น

4. ภาวะเบาหวานขึ้นจอตา เกิดจากการที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ ส่งผลให้ผนังหลอดเลือดฝอยเสื่อมทั่วร่างกายรวมทั้งหลอดเลือดที่จอตา ทำให้เลือดและสารต่างๆ รั่วซึมออกมา เกิดจากปัจจัยเสี่ยงที่ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ประกอบกับระยะเวลาที่เป็นเบาหวาน และโรคประจำตัวอื่นๆ เช่น ความดันโลหิตสูง โรคไต ภาวะซีด อาการในระยะแรกมักไม่มีอาการผิดปกติ แต่ตรวจตาอาจพบจุดเลือดออกที่จอตา หากมีอาการตามัวแสดงว่าเบาหวานขึ้นจอตาเป็นมากแล้ว

การป้องกันที่ดีที่สุด คือ การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ รวมทั้งดูแลโรคประจำตัวอื่นๆ เช่น โรคความดันโลหิตสูงและโรคไต โรคไขมันในเลือดสูงอย่างเหมาะสม จะสามารถชะลอความรุนแรงของโรคได้ และผู้ป่วยเบาหวานทุกคนควรต้องตรวจตาโดยจักษุแพทย์อย่างน้อยปีละครั้ง

5. ภาวะสายตายาวสูงอายุ เกิดขึ้นเมื่อสูงอายุทำให้การมองเห็นไม่ชัดเจน ผู้ป่วยจะมองหรืออ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ระยะใกล้ ๆ ไม่ชัดเจน ต้องถือหนังสือห่างๆ ทำงานระยะใกล้ๆ ไม่ได้ แต่มองไกลได้ปกติบางคนอาจมีตาพร่า หรืออาการปวดตา มักเริ่มมีอาการเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป เนื่องจากความสามารถและช่วงในการเพ่งปรับสายตาลดลง เนื่องจากเลนส์แก้วตาแข็งตัวขึ้น และการทำงานของกล้ามเนื้อตาลดลง สามารถรักษาด้วยการใช้แว่นสายตา หรือการผ่าตัดทำเลสิก แต่ควรมาตรวจกับจักษุแพทย์ก่อนว่าไม่มีความผิดปกติของโรคตาอื่นๆ ร่วมด้วย

ผู้สูงอายุมีแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงตามวัยในระบบต่างๆ ของร่างกาย รวมถึงระบบการมองเห็นที่อาจจะรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันแต่ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล เนื่องจากโรคตา เช่น ต้อกระจกผ่าตัดรักษาได้ บางโรคถ้าดูแลรักษาในระยะแรกและต่อเนื่องจะสามารถชะลอความเสื่อมได้ เช่น ต้อหิน จุดภาพชัดที่จอตาเสื่อม หรือบางโรคถ้าควบคุมโรคประจำตัว จะช่วยลดปัจจัยเสี่ยงของภาวะเบาหวานขึ้นจอตาได้

อย่างไรก็ตาม หากผู้สูงอายุสงสัยว่าสายตาผิดปกติสามารถมาพบจักษุแพทย์ได้ทันที หรือตรวจตาอย่างน้อยปีละครั้ง ที่สำคัญลูกหลานควรใส่ใจดูแลสุขภาพผู้สูงอายุอย่างองค์รวม ทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อให้ผู้สูงอายุมีสุขภาวะที่ดีและมีความสุข

ภาพประกอบจาก istockphoto

ยินดีให้คำแนะนำและปรึกษา สอบถามข้อมูลหรือสั่งซื้อสินค้า (24 ช.ม.)

โทร.081-926-1961 นันทภัค อุระนันท์ (หนิง)

Line id : @pshop01