โรครูมาตอยด์

โรครูมาตอยด์

โรครูมาตอยด์ ข้อกระดูกอักเสบ ปวดข้อ เกิดจากอะไร รักษาอย่างไร

โรครูมาตอยด์ ข้ออักเสบรูมาตอยด์ คือ ความผิดปกติของเนื้อเยื่อข้อกระดูก เกิดการอักเสบของข้อเล็ก ทำให้มีอาการปวดข้อ หากไม่รักษาทำให้พิการได้ อาจลุกลามไปทำลายอวัยวะส่วนอื่นๆ เช่น เม็ดเลือด ปอด หัวใจ และส่งผลให้ ต่อมน้ำตาฝ่อ ตาแห้งฝืด และอีกมากมาย

โรครูมาตอย วิธีรักษาโรครูมาตอยด์ สาเหตุของโรครูมาตอย์ อาหารที่ควรกิน อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง อาการปวดอย่างรุนแรงตามข้อกระดูก มือ นิ้วมือ ข้อมือ กระดูกผิดรูป ไขข้ออักเสบเรื้อรัง โรครูมาตอยด์เป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเด่นคือ มีการเจริญงอกงามของเยื่อบุข้ออย่างมาก เยื่อบุข้อนี้จะลุกลามและทำลายกระดูก และข้อในที่สุด โรคนี้มิได้เป็นแต่เฉพาะข้อเท่านั้น ยังอาจมีอาการทางระบบอื่น ๆ อีก เช่น ตา ประสาท กล้ามเนื้อ เป็นต้น

สาเหตุของการเกิดโรครูมาตอยด์

สำหรับสาเหตุของโรคการเกิดโรครูมาตอยด์ นั้นทางการแพทย์ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่จากการศึกษาทางการแพทย์พบว่า ร้อยละ 10 ของผู้ป่วยโรคนี้ เกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคที่สามารถพบได้ทั่วโลก จึงมีข้อสันนิษฐานอีกอย่างว่าเกิดจากการติดเชื้อบางชนิด มีความเป็นไปได้ว่า เกิดจากเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส ซึ่งส่งผลให้เกิดข้ออักเสบเรื้อรัง

นอกจากสาเหตุของกรรมพันธ์ และ เชื้อโรคบางชนิดแล้ว สาเหตุจากฮอร์โมนในร่างกาย ก็เกี่ยวข้อง เนื่องจาก โรครูมาตอยด์พบมากในเพศหญิงม และอาการของโรคจะดีขึ้นเมื่อตั้งท้อง ระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกายถูกกระตุ้นให้ทำงานมากเกินผิดปกติ โดยเฉพาะที่ข้อกระดูก เซลล์เม็ดเลือดขาว และ เซลล์เนื้อเยื่อ ถูกกระตุ้นให้ทำงานมากขึ้น และเกิดดารหลั่งสารเคมี ทำให้เกิดการอักเสบ และเนื้อเยื่อปกติถูกทำลาย

อาการของโรครูมาตอยด์

สำหรับอาการโรครูมาตอยด์ พบว่าเริ่มต้นจะมีอาการ อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร และจึงเกิดอาการข้ออักเสบตามมา อาการลักษณะนี้พบว่า ร้อยละ 60 เกิดอาการตามลำดับนี้ มีส่วนน้อยที่มีอาการข้ออักเสบเลยโดยไม่มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ผู้ป่วยส่วนใหญ่ จะมีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต และ ม้ามโต

อาการของข้ออักเสบ ที่เกิดจากโรครูมาตอย ผู้ป่วยจปวดบวมตามข้อเล็กๆ เช่น ข้อนิ้วมือ ฝ่ามือ ข้อนิ้วเท้า และ ฝ่าเท้า แต่จะไม่พบว่ามีอาการอักเสบที่ข้อปลายนิ้วมือ และ ข้อกระดูกสันหลังส่วนเอว เมื่อพักการใช้งานข้อนานๆ จะพบว่า หลังตื่นนอนจะมีอาการข้อยึดและขยับไม่ได้ มีอาการข้อบวม และปวด ที่เกิดจากข้อกระดูกมีน้ำมาก เยื่อบุข้อหนาตัว เมื่ออาการอักเสบลักษณะนี้ เกินนานๆจะส่งผลต่อกระดูกอ่อนของข้อถูกทำลาย กระดูกรอบข้อจะบางลง และเกิดพังผืดขึ้นมาแทน ส่งผลทำให้กล้ามเนื้อทำงานไม่ปกติ

ลักษณะการผิดรูปร่างของข้อที่พบ มีหลายลักษณะแตกต่างกันตามจุดที่เกิด มีรายละเอียดดังนี้

  • หากเกิดที่ข้อนิ้วมือและข้อมือ จะมีการผิดรูป 3 แบบ คือ แบบรูปร่างคล้ายตัวหนังสือ Z เรียก Z deformity แบบคอห่าน เรียก Swan neck deformity และ แบบข้อนิ้วมือส่วนต้นงอเข้าหาฝ่ามือ เรียก Boutonniere deformity
  • การเกิดที่ข้อมือ จะทำให้ข้อมือขยับไม่ได้ และพังผืดจะเกิดรอบๆข้อ และไปกดทับเส้นประสาทส่วนปลาย ทำให้ปวดและชาที่มือและกล้ามเนื้อมือ
  • การเกิดที่ข้อเท้า และ ข้อนิ้วเท้า ทำให้พิการถึงขั้นเดินไม่ได้
  • การเกิดที่ข้อศอก จะทำให้ข้อศอกหด และ งอ ทำให้ยืดข้อศอกไม่ได้
  • การเกิดที่ข้อเข่า จะทำให้เข่าหดงอ ส่งผลกระทบต่อการเดิน
  • การเกิดทั้ข้อกระดูกสันหลังส่วนคอ อาจส่งผลให้กระดูกเลื่อนหลุด และไปกดเส้นประสาทส่วนปลาย ทำให้เกิดอาการปวดและชา แขนอ่อนแรง เป็นอัมพาตได้

การรักษาโรครูมาตอยด์

  • ใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ ซึ่งมีทั้งชนิดกินและฉีดเข้าไปในกล้ามเนื้อ ข้อกระดูก แต่วิธีนี้จะใช้เมื่ออักเสบอย่างรุนแรงเท่านั้น และต้องใช้ในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะจะมีผลข้างเคียง เช่น เร่งกระดูกพรุน ไตวาย และติดเชื้อง่าย และถ้าหยุดใช้ยาอาการก้จะกลับมา
  • ทำกายภาพบำบัด โดยวิธีการ ประคบร้อน แช่น้ำอุ่น ในบางกรณีแนะนำให้ ใส่เฝือกชั่วคราว เพื่อป้องกันข้อกระดูกติด ผิดรูป การทำกายภาพบำบัดสำหรับโรครูมาตอยด์ แนะนำให้ผู้ป่วยขยับตัวให้มาก เพื่อป้องกันข้อแข็งและผิดรูป การออกกำลังกายในส่วน มือ นิ้ว และแขน ก็ช่วยได้
  • ใช้ยาแก้อักเสบ วิธีนี้ใช้สำหรับกรณีที่ผู้ป่วยยังมีอาการไม่รุ่นแรง ยาแก้อักเสบจะช่วยลดอาการปวดและบวมได้ดี
  • ใช้ยายับยั้งข้ออักเสบรูมาตอยด์ที่ออกฤทธิ์ช้า วิธีนี้ต้องได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด เพราะ ยาชนิดนี้ ค่อนค้างอันตราย
  • ฝ่าตัด จะทำการเลาะเยื่อบุข้อที่การอักเสบออกและผ่าตัดซ่อมแซม เชื่อมข้อติดกัน ผ่าตัดกระดูกปรับแนวข้อกระดูกให้ตรง หรือใส่ข้อเทียม แต่การผ่าตัดนั้นเป็นการรักษาที่ปลายเหตุ เพื่อบรรเทาอาการของโรครูมาตอยด์ เท่านั้น

การดูแลตนเองสำหรับผู้ป่วยโรคข้อรูมาตอยด์

ผู้ป่วนโรครูมาตอยด์ต้องเข้ารับการรักษากับแพทย์เฉพาะทาง และพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ ไม่ควรซื้อยากินเอง และ ควรปฏิบัตตนตามนี้

  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ทำให้การเคลื่อนไหวของข้อได้ดี ช่วยลดความปวด และอาการอ่อนเพลีย
  • ไม่ควรนั่งหรือยืน ในท่าทางที่ไม่เกิดการเคลื่อนไหวเป็นเวลานานๆ เนื่องจากจะทำให้ข้อแข็ง ขาดความยืดหยุ่น แต่ไม่ควรฝืนเมื่อข้ออาการบวมและปวดอยู่
  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เกิดการกระแทกที่ข้อกระดูก เช่น การยกของหนัก การกระโดดสูงๆ การทำงานที่ใช้ข้อกระดูกมากๆ
  • ควรลดน้ำหนักตัว เพิ่อแบ่งเบาภาระการทำงานของข้อกระดูก
  • รับประทานอาหาที่มีประโยชน์ต่อข้อและกระดูก เช่อ อาหารที่มีแคลเซียม วิตามินดี และ วิตามินซี เพื่อการบำรุงเนื้อเยื่อและกระดูก เป็นต้น

อาหารที่ควรรับประทานสำหรับผู้ป่วยรูมาตอยด์

สำหรับอาหารของผู้ป่วยเป็นรูมาตอยด์ คือ ข้าวกล้อง ผลไม้ที่ผ่านความร้อน หรือทำแห้ง ผักสีเขียว เหลือง และส้ม ที่ผ่านความร้อน น้ำ เกลือปริมาณปานกลาง น้ำเชื่อมเมเปิ้ล และสารสกัดวานิลา

อาหารที่ควรหลีกเลี้ยงสำหรับผู้ป่วนรูมาตอยด์

อาหารควรหลีกเลี่ยง สำหรับผู้เป็นโรครูมาตอยด์ คือ ผลิตภัณฑ์จากนมทุกชนิด ข้าวสาลี เนื้อสัตว์ทุกชนิด ข้าวโอ๊ต ข้าวราย ผลไม้ตระกูลส้ม ไข่ มันฝรั่ง ถั่ว มะเขือเทศ กาแฟ

ยินดีให้คำแนะนำและปรึกษา สอบถามข้อมูลหรือสั่งซื้อสินค้า (24 ช.ม.)

โทร.081-926-1961 นันทภัค อุระนันท์ (หนิง)

Line id : @pshop01

โรคข้อเสื่อม

โรคข้อเสื่อม

โรคข้อและกระดูก เกิดจากอะไร รักษาอย่างไร

โรคข้อเสื่อม ( Osteoarthritis ) คือ ความผิดปกติของข้อกระดูกแบบเรื้อรัง การสึกหรอที่ผิวกระดูกอ่อนหุ้มข้อ ปัจจัยการเกิดโรค คือ อายุ และ อุบัตติเหตุ อาการเจ็บปวดบริเวณข้อ ทำให้การเคลื่อนไหวตัวได้น้อย โดยเฉพาะ ข้อเข่า ข้อเท้า ข้อมือ ข้อสะโพก ข้อกระดูกสันหลัง เป็นต้น

โรคข้อเสื่อม เกิดกับกระดูกอ่อน เกิดกับเยื่อหุ้มข้อ ข้อนิ้วมือ ข้อมือ ข้อกระดูกต้นคอ ข้อกระดูกส่วนหลัง อาการปวด บวม แดง ร้อนบริเวณข้อกระดูก เคลื่อนไหวลำบาก คนอายุ 50 ถึง 60 ปี มีโอกาสเสี่ยงสูง โดยเฉพาะ สตรี มีโอกาศเป็นมากกว่าชาย 2 เท่า ลักษณะเด่นของโรคนี้ คือ ข้อฝืดในช่วงเช้า มีอาการปวดตามข้อ มีเสียงดังกรอบแกรบจากข้อกระดูก

ชนิดของโรคข้อเสื่อม

สำหรับชนิของโรคข้อเสื่อม สามารถ แบ่งได้ 2 ชนิด คือ ข้อเสื่อมปฐมภูมิ และ ข้อเสื่อมทุติยภูมิ รายละเอียด ดังนี้

  • ข้อเสื่อมปฐมภูมิ เรียก primary osteoarthritis คือ อาการข้อเสื่อม เกิดกับผู้สูงอายุ เป็นการเสื่อมตามวัย มักพบอาการเสื่อมของข้อกระดูก บริเวณข้อใหญ่ๆ เช่น ข้อเข่า ข้อสะโพก และ ข้อกระดูกสันหลัง เป็นต้น
  • ข้อเสื่อมทุติยภูมิ เรียก secondary osteoarthritis คือ ข้อเสื่อมจากสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่การเสื่อมตามวัย เช่น การเกิดอุบัตติเกตุ ทำให้เกิดการแตกหักของผิวกระดูกข้อ การเกิดข้อหลุด ไขข้อกระดูกถูกทำลาย การตายของหัวกระดูก หรือ การติดเชื้อที่ข้อกระดูก รวมถึงความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด

ปัจจัยที่ทำให้เป็นโรคข้อเสื่อม

สำหรับปัจจัยการเกิดข้อกระดูกเสื่อม คือ อายุมากเกิดการเสื่อมสภาพของข้อกระดูกตามการใช้งาน น้ำหนักตัวที่มากของมนุษย์ อุบัติเหตุที่เกิดการกระแทกอย่างรุนแรง กรรมพันธุ์ ยังมีปัจจัยอื่นๆที่เกี่ยวข้อง และส่งผลต่อการเสื่อมของข้อกระดูกเร็วกว่าปกติ มีดังนี้

  • อายุ การเสื่อมสถาพของกระดูกตามวัย เป็นปัจจัยหลักของการเกิดโรคข้อเสื่อม
  • เชื้อชาติ จากการสำรวจพบว่า ชนชาติที่มีลักษณะร่างกายใหญ่ จะพบว่าเกิดโรคข้อเสื่อมมากกว่าคนตัวเล็ก
  • อาชีพ การประกอบอาชีพที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดข้อเสื่อม เช่น อาชีพที่ต้องยกของหนัก และ อาชีพที่มีการกระแทกสูง
  • กรรมพันธุ์ การถ่ายทอดทางพันธุกรรม มีผลต่อการเกิดโรค หากครอบครัวที่ีมีคนเกิดโรคนี้ คนในครอบครัวมีโอกาสเกิดโรคสูง
  • น้ำหนักตัว หากร่างกายมีน้ำหนักมาก ทำให้ระบบข้อและกระดูกทำงานหนักมากขึ้น ส่งผลต่อความเสื่อมที่ง่ายกว่าคนที่ทีน้ำหนักตัวเบา
  • สุขภาพของกระดูก แต่ละคนที่ความหนาแน่นของมวลกระดูกที่แตกต่างกัน ในคนที่มีความหนาแน่นของมวลกระดูกน้อย จะเกิดโรคข้อเสื่อมง่าย
  • ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งฮอร์โมนเอสโอสโตรเจน มีหน้าที่ป้องกันการเสื่อมของผิวกระดูกอ่อน หากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนมีน้อย อัตราการเสื่อมของผิวกระดูกจะเร็วขึ้น
  • พฤติกรรมส่วนตัว ปฏิเสธไม่ได้ว่าพฤติกรรมการใช้ชีวิต ที่ไม่ส่งผลดีต่อระบบข้อและกระดูก ทำให้เกิดการเสื่อมของข้อได้ง่าย
  • การเกิดอุบัติเหตุ ที่ส่งผลกระทบต่อข้อและกระดูก เช่น ข้อเข่าหลุด ข้อมือหัก เป็นต้น ทำให้ผิวหุ้มกระดูกอ่อนถูกทำลายส่งผลทำให้เกิดการเสื่อมที่ข้อที่เร็วกว่าปรกติ

ลักษณะการเสื่อมของผิวกระดูกอ่อน

การเสื่อมของผิวกระดูกอ่อน ที่เป็นสาเหตุของโรคข้อเสื่อมนั้น สามารถแบ่งระยะของความเสื่อมได้ 5 ระยะ รายละเอียดของระยะต่างๆ ดังนี้

  • ระยะที่ 1 ผิวกระดูกอ่อนเริ่มมีการสึกและกร่อนแตกเป็นเศษเล็กๆ บริเวณช่องว่างระหว่างข้อกระดูก
  • ระยะที่ 2 เกิดอาการระคายเคืองที่เยื่อบุข้อ มีอาการอักเสบ เกิดการทำลายผิวกระดูกอ่อนมากขึ้น
  • ระยะที่ 3 ระยะการซ่อมแซมผิวกระดูกอ่อนหุ้มข้อ การซ่อมแซมข้อกระดูกของร่างกายทำให้เพิ่มความหนาของเซลล์กระดูก ส่งผลให้ช่องว่างระหว่างข้อกระดูกแคบลง ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของข้อกระดูก
  • ระยะที่ 4 ความสามารถในการซ่อมแซมผิวกระดูกอ่อนน้อยลง ส่งผลต่อการสึกหรอของข้อกระดูกมากขึ้น ทำให้เนื้อกระดูกอ่อนถูกเสียดสี ทำให้ปวดข้อเวลาเคลื่อนไหว
  • ระยะที่ 5 การทำงานของข้อกระดูกผิดปกติ ข้อกระดูกเกิดการผิดรูป มีอาการบวม ระยะนี้จะมีอาการข้อแข็ง ทำให้การเคลื่อนไหวทำได้น้อย

ลักษณะของการเกิดโรคข้อเสื่อม

โรคข้อเสื่อมเป็นความผิดปกติของข้อแบบ synovial และ diarthrodial ที่มีลักษณะเกิดการเสื่อมของกระดูกอ่อนผิวข้อ จะมี 3 ลักษณะ คือ เกิดกระดูกงอกบริเวณขอบข้อ และ เกิดพังผืดบริเวณเยื่อหุ้มข้อ รวมถึงเกิดการเปลี่ยนแปลงชีวเคมีบริเวณข้อ รายละเอียดของการลักษณะการเกิดโรคมีรายละเอียดดังนี้

  • การโรคระยะแรก จะเกิดกับผิวกระดูกอ่อน ส่วนที่รับน้ำหนักมาก ผิวของกระดูกอ่อนจะเปลี่ยนจากสีเหลือง ผิวกระดูกขรุขระ และ นิ่มลง เกิดการเสื่อมมาก ในบางรายผิวกระดูกอ่อนหลุดลอก เมื่อมีการเคลื่อนไหว จะทำให้เกิดการเสียดสีของข้อกระดูก หากเกิดอาการมากขึ้น จะทำให้เกิดพังผืดรอบกระดูกอ่อน หนาตัวกลายเป็นกระดูกงอก
  • การเกิดการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีและเนื้อเยื่อภายในข้อ เช่น ปริมาณของน้ำเพิ่มขึ้น ขนาดเส้นใยคอลาเจนเล็กลง เส้นใยมีลักษณะหลวม เกิดการเปราะ และแตกสลายง่าย
  • การเกิดการเปลี่ยนแปลงของเมตาบอลิซึม ทำให้เซลล์กระดูกอ่อนเพิ่มมากขึ้น ปริมาณคอลาเจนเพิ่มขึ้น การสร้างดีเอ็นเอเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อเซลล์กระดูกอ่อนเพิ่มขึ้น ในขณะที่การสร้างเพื่อชดเชยสิ่งที่ถูกทำลาย จะทำไม่ทันต่อการถูกทำลาย ทำให้เกิดการเสื่อมของข้อตามมา

อาการของโรคข้อเสื่อม

อาการของโรคข้อเสื่อม มีอาการหลักๆ คือ อาการปวดตามข้อ ซึ่งยังมีอาการอื่นอีก รายละเอียดดังนี้

  • อาการเจ็บปวดตามข้อ อาการจะรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามวัย และเวลาลักษณะจะเป็นๆหายๆ
  • อาการข้อติดและข้อตึง เมื่อเกิดอาการปวด ก็เคลื่อนไหวได้น้อย และความหนาของกระดูกมากขึ้น เกิดการผิดรูปของข้อ อาการที่พบคือ ข้อกระดูกติดและแข็ง อาการข้อติดแข็งจะเกิดในเวลาสั้นๆ ประมาณ 1 ชั่วโมง
  • อาการข้อกระดูกมีเสียง เนื่องจากเซลล์กระดูกที่สร้างขึ้นใหม่มีลักษณะไม่เรียบ ผิวขรุขระ เมื่อเกิดการเสียดสีของผิวกระดูกจะทำให้เกิดเสียง ดังกรอบแกรบ
  • อาการบวมตามข้อกระดูก อาการบวมนี้มักจะเกิดหลังจากการทำงานหนักของข้อกระดูก อาการบวมเกิดจาก การหนาตัวของเซลล์กระดูกอ่อนและเชื่อมติดกับเอ็นรอบๆข้อ ทำให้เกิดอาการอักเสบของข้อกระดูก
  • ภาวะน้ำท่วมข้อ เกิดจากการเสื่อมของกระดูกเป็นเวลานาน ทำให้เซลล์กระดูกแตก และ เศษกระดูกติดค้างในช่องว่างระหว่างข้อ ทำให้ร่างกายสร้างน้ำไขข้อขึ้นมาเมื่อมากเกินไปทำให้มีอาการบวมอักเสบบริเวณข้อ
  • อาการข้อกระดูกผิดรูป อาการกระดูกผิดรูป เป็นอาการของข้อเสื่อมระยะสุดท้าย การผิดรูปของข้อ เกิดจากความหนาแน่นและการขยายตัวของกระดูก ลักษณะ เช่น ข้อขยายใหญ่ เป็นต้น

สำหรับความรุนแรงของโรคข้อเสื่อมนั้ เราสามารถแบ่งความรุนแรงของโรคได้ 4 ระดับ คือ ระดับ 1 มีการงอกของกระดูกใหม่จำนวนน้อย ระดับ 2 มีการงอกของกระดูกใหม่จำนวนมาก ระดับ 3 เกิดช่องว่างของข้อกระดูกแคบลง และ ระดับ 4 ช่องว่างระหว่างข้อมีขนาดแคบมาก

การรักษาโรคข้อเสื่อม

สำหรับการ รักษาโรคข้อเสื่อม ทางการแพทย์ไม่สามารถรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้ หากาเหตุของการเกิดโรคเกิดจากการเสื่อมของร่างกายตามวัย การรักษาสามารถทำได้เพียงการบรรเทาอาการของโรค ซึ่งการรักษามึ 3 วิธี คือ การรักษาตัวโดนการทำกายภาพบำบัด การใช้ยารักษาและ การผ่าตัด รายละเอียดดังนี้

  • วิธีการรักษาด้วยเวชศาสตร์ฟื้นฟู การทำกายภาพบำบัด เพื่อลดอาการบวม ช่วยให้การเคลื่อนไหวทำได้ดีขึ้น  และป้องกันการผิดรูปของข้อกระดูก เช่น การนวด การใช้เครื่องมีช่วยเดิน การใช้ความร้อนเย็นบรรเทาอาการบวด เป็นต้น
  • การรักษาด้วยการใช้ยา ก็จะเป็นยารักษาอาการอักเสบ รักษาอาการปวด และ ยาที่ทำให้ออกฤทธิ์ชา
  • การรักษาด้วยการผ่าตัด การผ่าตัดนั้นจะใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการแทรกซ้อน เช่น การผ่าตัดล้างข้อ การผ่าตัดเปลี่ยนจุดรับน้ำหนัก การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม การผ่าตัดเชื่อมข้อ เป็นต้น

การป้องกันและดูแลตัวเองของผู้ป่วยโรคเก๊าท์

การป้องกันโรคเก๊าท์ที่สามารถทำได้ คือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคด้วยการไม่รับประทานอาหารที่มีกรดยูริกสูงต่อเนื่องเป็นเวลานาน ส่วนการดูแลตัวเองของผู้ป่วย ได้แก่

  • พบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางตามนัดทุกครั้ง และรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกรดยูริกสูง เช่น เนื้อสัตว์โดยเฉพาะสัตว์ปีก เครื่องในสัตว์ อาหารทะเลบางชนิด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเน้นรับประทานโปรตีนจากผลิตภัณฑ์นมที่มีไขมันต่ำ ทั้งนี้ ผู้ป่วยควรศึกษาอย่างละเอียดว่าอาหารชนิดใดควรหรือไม่ควรรับประทาน หลีกเลี่ยงฟรุกโตสซึ่งพบมากในน้ำอัดลม
  • ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกิดภาวะน้ำหนักเกิน ไม่ควรลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วเพราะอาจเป็นการเพิ่มระดับของกรดยูริกได้
  • ดื่มน้ำให้มากเพื่อขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะ
  • หากมีอาการปวดเฉียบพลันให้พักการใช้ข้อที่อับเสบ แล้วใช้วิธีประคบเย็นช่วยบรรเทาอาการ

ยินดีให้คำแนะนำและปรึกษา สอบถามข้อมูลหรือสั่งซื้อสินค้า (24 ช.ม.)

โทร.081-926-1961 นันทภัค อุระนันท์ (หนิง)

Line id : @pshop01

โรคเก๊าท์

โรคเก๊าท์

โรคเก๊าท์เป็นหนึ่งในกลุ่มโรคข้ออักเสบที่เกิดจากการสะสมของผลึกกรดยูริกตามข้อต่างๆ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวด บวม แดงบริเวณข้ออย่างเฉียบพลัน โดยพบได้บ่อยในผู้ชายและผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน โรคเก๊าท์เป็นโรคที่สามารถรักษาและควบคุมไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำได้

  • ​สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคเก๊าท์
  • ​อาการโรคเก๊าท์
  • ​การตรวจวินิจฉัยโรคเก๊าท์
  • ​การรักษาโรคเก๊าท์
  • ​การป้องกันและดูแลตัวเองของผู้ป่วยโรคเก๊าท์

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคเก๊าท์

โรคเก๊าท์เกิดจากภาวะกรดยูริก (uric acid) ในเลือดสูงติดต่อกันเป็นเวลานานจนเกิดเป็นผลึกสะสมอยู่ในข้อ ทำให้เกิดการอักเสบ ปวดบวมอย่างรุนแรง ทั้งนี้ กรดยูริกเปรียบเสมือนของเสียในร่างกายที่เหลือจากการกำจัดเซลล์ที่หมดอายุลง โดยร่างกายของแต่ละคนจะมีกรดยูริกอยู่ประมาณร้อยละ 80 ส่วนอีกร้อยละ 20 มักได้รับจากอาหารที่รับประทานเข้าไป

ปัจจัยที่กระตุ้นให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูงจนตกตะกอนเป็นผลึก ได้แก่

  • การรับประทานอาหารที่มีกรดยูริกสูง เช่น เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลฟรุกโตส
  • อาการเจ็บป่วยที่มีผลต่อการสร้างเซลล์เพิ่มขึ้น เช่น โรคมะเร็ง โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (ลูคีเมีย) โรคสะเก็ดเงิน
  • อาการเจ็บป่วยที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างกรดยูริกขึ้นมามากกว่าปกติ ขณะเดียวกันก็ลดความสามารถในการกำจัดกรดยูริกออกจากร่างกาย เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคไต
  • การใช้ยาบางชนิด ที่ส่งผลให้ไตขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะได้น้อยลง

อาการโรคเก๊าท์

ผู้ป่วยโรคเก๊าท์จะมีอาการปวด บวมแดง ร้อนบริเวณข้ออย่างฉับพลันทันทีทันใด โดยมักเริ่มจากข้อบริเวณโคนนิ้วหัวแม่เท้า แต่ก็สามารถเกิดกับข้ออื่นๆ ได้ เช่น ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อมือ ซึ่งจะเป็นๆ หายๆ ในระยะแรก โรคเก๊าท์ที่ไม่ได้รับการรักษาหรือดูแลอย่างถูกต้อง อาการอักเสบจะรุนแรงมากขึ้นทำให้ผู้ป่วยปวดถี่ขึ้นและนานขึ้นจนอาจกลายเป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรัง และอาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมา เช่น โรคไต นิ่วในทางเดินปัสสาวะ และไตวาย

การตรวจวินิจฉัยโรคเก๊าท์

นอกเหนือจากการตรวจร่างกายแล้ว แพทย์วินิจฉัยโรคเก๊าท์ได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

1. เจาะน้ำในข้อที่มีอาการออกมาตรวจว่ามีผลึกของกรดยูริกหรือไม่ ถือเป็นวิธีหลักในการตรวจวินิจฉัย โดยแพทย์จะพิจารณาช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเจาะ เพราะหากผู้ป่วยยังมีอาการปวดมาก อาจไม่สมควรเจาะในขณะนั้น แต่อาจให้รับประทานยาเพื่อให้หายอักเสบก่อน

2. เจาะเลือดดูระดับกรดยูริกว่าสูงมากน้อยเพียงใด เป็นการตรวจในกรณีที่ผู้ป่วยยังไม่พร้อมรับการเจาะน้ำในข้อ ทั้งนี้ระดับกรดยูริกสูงไม่ได้หมายความว่าเกิดการตกตะกอนเป็นผลึกในข้อเสมอไป

3. การตรวจ dual energy CT scan เป็นการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ที่ช่วยให้แพทย์เห็นผลึกของกรดยูริกที่ตกตะกอนอยู่ในข้อได้โดยไม่จำเป็นต้องเจาะน้ำออกมาตรวจ แต่การตรวจแบบนี้เหมาะสำหรับกรณีที่ผลึกจับตัวเป็นก้อนใหญ่จนสามารถเอกซเรย์เห็นได้ ซึ่งแพทย์จะประเมินจากลักษณะข้อที่ผิดปกติ หรือระยะเวลาที่ผู้ป่วยมีอาการผิดปกติ เช่น เป็นๆ หายๆ มานาน 5-10 ปี

การรักษาโรคเก๊าท์

แนวทางการรักษาโรคเก๊าท์คือการลดกรดยูริกในเลือดให้ต่ำลง ซึ่งทำได้โดยการรับประทานยาละลายผลึกกรดยูริกแล้วให้ร่างกายขับออก เมื่อกรดยูริกลดต่ำลงก็จะเกิดการอักเสบน้อยลง

ทั้งนี้ ผู้ป่วยจำเป็นต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง เพราะนอกจากจะเป็นการรักษาอาการอักเสบเฉียบพลันแล้ว ยังเป็นการป้องกันการกลับมาสะสมใหม่และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากภาวะแทรกซ้อนของโรค รวมถึงการเกิดปุ่มหรือก้อนผลึกกรดยูริกในเนื้อเยื่อที่เรียกว่าก้อนโทฟัส (tophus) ซึ่งทำให้ดูไม่สวยงาม

การป้องกันและดูแลตัวเองของผู้ป่วยโรคเก๊าท์

การป้องกันโรคเก๊าท์ที่สามารถทำได้ คือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคด้วยการไม่รับประทานอาหารที่มีกรดยูริกสูงต่อเนื่องเป็นเวลานาน ส่วนการดูแลตัวเองของผู้ป่วย ได้แก่

  • พบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางตามนัดทุกครั้ง และรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกรดยูริกสูง เช่น เนื้อสัตว์โดยเฉพาะสัตว์ปีก เครื่องในสัตว์ อาหารทะเลบางชนิด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเน้นรับประทานโปรตีนจากผลิตภัณฑ์นมที่มีไขมันต่ำ ทั้งนี้ ผู้ป่วยควรศึกษาอย่างละเอียดว่าอาหารชนิดใดควรหรือไม่ควรรับประทาน หลีกเลี่ยงฟรุกโตสซึ่งพบมากในน้ำอัดลม
  • ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกิดภาวะน้ำหนักเกิน ไม่ควรลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วเพราะอาจเป็นการเพิ่มระดับของกรดยูริกได้
  • ดื่มน้ำให้มากเพื่อขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะ
  • หากมีอาการปวดเฉียบพลันให้พักการใช้ข้อที่อับเสบ แล้วใช้วิธีประคบเย็นช่วยบรรเทาอาการ

ยินดีให้คำแนะนำและปรึกษา สอบถามข้อมูลหรือสั่งซื้อสินค้า (24 ช.ม.)

โทร.081-926-1961 นันทภัค อุระนันท์ (หนิง)

Line id : @pshop01